Warning: Constant WP_DEBUG_DISPLAY already defined in /var/www/vhosts/dittothailand.com/httpdocs/wp-config.php on line 111

Notice: Function _load_textdomain_just_in_time was called incorrectly. Translation loading for the porto-functionality domain was triggered too early. This is usually an indicator for some code in the plugin or theme running too early. Translations should be loaded at the init action or later. Please see Debugging in WordPress for more information. (This message was added in version 6.7.0.) in /var/www/vhosts/dittothailand.com/httpdocs/wp-includes/functions.php on line 6121

Warning: Undefined property: stdClass::$last_attempt_gmt in /var/www/vhosts/dittothailand.com/httpdocs/wp-content/plugins/woocommerce/packages/action-scheduler/classes/data-stores/ActionScheduler_DBStore.php on line 362

Warning: Undefined property: stdClass::$last_attempt_gmt in /var/www/vhosts/dittothailand.com/httpdocs/wp-content/plugins/woocommerce/packages/action-scheduler/classes/data-stores/ActionScheduler_DBStore.php on line 362
ปรับองค์กรให้เป็น Hybrid Working ด้วย e-Document

ปรับองค์กรให้เป็น Hybrid Working ด้วย e-Document

  • August 15, 2022

News Description

 

การทำงานแบบ WFH หรือสลับกันเข้าออฟฟิศ คือแนวทางการทำงานแบบใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตการทำงานแบบเดิม ที่ให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้มากขึ้น ขอแค่มีอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ทำงานก็พร้อมเริ่มงานได้ทันที และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายการเดินทางต่อวันที่แทบจะกินพื้นที่หนึ่งในสี่ของรายได้ ทำให้มีเวลากับตัวเองมากขึ้น โฟกัสกับชีวิตของตัวเองได้ดีกว่า การทำงานแบบนี้นี่แหละที่เรียกกันว่า “Hybrid Working”

 

Hybrid Working คืออะไร?

Hybrid Working ในทางทฤษฎี คือ ข้อตกลงที่มีร่วมกันระหว่างเจ้านายและพนักงานให้จัดรูปแบบการทำงาน จากที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ เปิดโอกาสให้พนักงานมีอิสระในการจัดการชีวิตตัวเอง สร้างทางเลือกในการทำงานมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ แค่พกแล็ปท็อปไปด้วย คุณก็เข้างานได้แล้ว จากผลแบบสอบถามความเห็นพนักงานของ Envoy ระบุว่า 

พนักงานกว่า 47% คงรู้สึกอยากลาออกแน่ ๆ หากที่ทำงานไม่ยอมเปลี่ยนการทำงานมาเป็น Hybrid Working” และมากถึง 

59% ของพนักงานต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาอยากให้เปลี่ยนมาเป็นการทำงานแบบ Hybrid มากกว่าแบบเดิม” 

ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วอัตราส่วนคนที่อยากทำงานจากที่ไหนก็ได้กินพื้นที่เกือบครึ่งหรือเกินครึ่งไปแล้วของการสำรวจ เนื่องจากพนักงานต่างเห็นคุณค่าของการทำงานจากที่ไหนก็ได้ ทำให้ Hybrid Working กลายเป็นการทำงานแบบที่ใคร ๆ ก็ต้องการกันมาก

ยังมีข้อดีอีกหลายข้อ ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อพนักงาน แต่ยังส่งผลกับองค์กรเองด้วยเช่นกัน ดังนี้

 

 hybrid-working-benefit-for-employee

 

ข้อดีของการทำงานแบบ Hybrid Working ในแง่ของพนักงาน

  • ยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงาน

ก่อนที่กระแสการทำงานจากที่ไหนก็ได้จะเข้ามา เหล่ามนุษย์เงินเดือนต้องตื่นเช้าทำกิจวัตรประจำวัน ขึ้นรถโดยสารหรือขับรถเพื่อไปเข้างานให้ทันก่อนจะสาย ตกเย็นก็ฝ่ารถติดกลับบ้าน จัดการของในบ้านให้เรียบร้อยแล้วนอน ชีวิตวนอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ แต่ละวัน ทำให้พนักงานขาดแรงบันดาลใจในชีวิต หมดไฟในการทำงาน และยังไม่มีเวลาส่วนตัวมากพอไปจัดการธุระสำคัญอีกด้วย

 

แต่เมื่อทำงานจากที่ไหนก็ได้ พนักงานจะไม่ต้องฝืนตื่นเช้าเพื่อออกไปให้ทันรอบรถสาธารณะ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางเหมือนก่อน บาลานซ์ชีวิตตัวเองได้ดีขึ้น มีเวลาทำธุระส่วนตัวได้เต็มที่โดยที่ไม่กระทบงาน เพิ่มความ กระตือรือร้นในการทำงานและความคิดสร้างสรรค์

 

  • ลดรายจ่ายต่อวัน

เมื่อบ้านและที่ทำงานไม่ใช่ที่เดียวกัน พนักงานจำเป็นต้องเสียค่าเดินทางต่อวันนับร้อยบาท ส่วนคนที่มีรถก็ต้องเสียค่าน้ำมันที่ราคาสูงขึ้นทุกวันเพิ่มเข้าไปอีก รวมแล้วเดือนละหลายพันบาท แต่ถ้าเปลี่ยนมาทำงานที่บ้านได้ ค่าใช้จ่ายการเดินทางก็ไม่ต้องเสีย หรือหากเสียก็แค่ค่าน้ำหวาน – กาแฟที่สั่งมาส่งที่บ้านเท่านั้น

 

  • เพิ่มความคล่องตัว

การทำงานแบบที่ไม่ต้องปรากฏตัวที่ออฟฟิศ คือความฝันอย่างหนึ่งของพนักงาน เพราะเมื่อข้อจำกัดด้านสถานที่การทำงานถูกทำลายไป ทางเลือกก็มีมากขึ้น พนักงานสามารถอยู่ตรงไหน หรือทำกิจวัตรประจำวันอย่างอื่นไปด้วยระหว่างทำงานโดยที่ไม่กระทบต่อการเนื้องาน ยกตัวอย่างให้เข้าใจ เช่น ตอนเช้าพนักงานเข้าประชุมออนไลน์กับทีมที่บ้าน แต่พอบ่ายก็ออกไปหาคาเฟ่เย็น ๆ นั่งทำงานต่อ จิบกาแฟสบาย ๆ ตกเย็นก็แวะซื้อของหรือย้ายที่ทำงานไป Night Cafe แทน

 

hybrid-working-benefit-for-company

 

ข้อดีของ Hybrid Working ในแง่ขององค์กร

  • ลดค่าเช่าออฟฟิศ

ในเมื่อไม่มีพนักงานมาที่ออฟฟิศแล้ว ‘ที่ทำงาน’ ก็คงไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะในหนึ่งเดือน องค์กรต้องเสียค่าเช่านับหมื่นหรือแสน ขึ้นอยู่กับราคาค่าเช่าที่ ดังนั้นถ้าพนักงานไม่ทำงานที่ออฟฟิศอีกแล้ว การลดพื้นที่หรือยกเลิกการเช่าที่ก็จะช่วยองค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น

 

  • จ้างพนักงานเพิ่มได้ โดยไม่ต้องลงทุนเช่าพื้นที่ออฟฟิศเพิ่ม

การจ้างพนักงานหนึ่งครั้ง องค์กรจำเป็นต้องจัดสรรพื้นที่ทำงานให้พนักงานแต่ละคนมีพื้นที่ทำงานเป็นของตัวเอง ซึ่งองค์กรต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการจัดหาโต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงานส่วนบุคคล และขยายพื้นที่สำนักงานให้รองรับกับจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นตามขนาดองค์กร ซึ่งภาระในส่วนนี้จะถูกลดทอนลง ถ้าพนักงานหันไปเลือกทำงานจากที่อื่นแทนการมาออฟฟิศ องค์กรก็สามารถเพิ่มจำนวนพนักงานได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่อพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป

 

  • พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน

อย่างที่ได้บอกไปในหัวข้อข้อดีต่อพนักงาน เมื่อพนักงานมีความสุข ชีวิตมีบาลานซ์ที่ดีขึ้น ไม่ต้องแปลกใจถ้าพวกเขาจะขยันทำงานมากขึ้นกว่าเดิม งานที่ได้ก็ดูจะออกมาดีเสียด้วย เพียงแค่องค์กรรักษาความสุขของพนักงานไว้ เท่านี้ประสิทธิภาพการทำงานของทั้งองค์กรและพนักงานก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เอาชนะองค์กรที่ไม่ได้ทำงานแบบ Hybrid ได้

 

  • ลดระดับอัตราการลาออก (Retention Rate)

พนักงานมองเห็นข้อดีและประโยชน์ที่ได้จากการทำงานแบบ Hybrid ก็ย่อมต้องคาดหวังให้องค์กรดำเนินนโยบายการทำงานแบบนี้บ้าง องค์กรใดที่ปรับรูปแบบให้ทำงานได้อย่างอิสระก็จะได้ประโยชน์จากทั้ง 6 ข้อที่กล่าวมา ส่วนองค์กรที่ไม่ได้ปรับมาใช้ Hybird Working ก็อาจสูญเสียพนักงานที่มีคุณค่าไปเรื่อย ๆ เหมือนกับภาวะสมองไหลซึ่งส่งผลเสียต่อองค์กรแน่นอน กล่าวได้ว่าการทำงานแบบผสมผสานและยืดหยุ่นสามารถลดอัตราการลาออกของพนักงานได้ ไม่ต่างจากการให้สวัสดิการอื่น ๆ เลย

 

hybrid working with e-document

 

เริ่มใช้งาน e-Document ส่งเสริมให้ทำงานแบบ Hybrid มากขึ้น

หลักการทำงานของ e-Document หรือ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ คือการจัดทำเอกสารให้เป็นรูปแบบไฟล์ชนิดต่าง ๆ ไว้ในคอมพิวเตอร์ หรือฝากไว้บนระบบเซิร์ฟเวอร์ออนไลน์ ทำให้เข้าถึงเอกสารจากที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าออฟฟิศ ลดการใช้ทรัพยากรกระดาษ ลดค่าใช้จ่ายอุปกรณ์สำนักงาน อาทิ เครื่องพิมพ์ หมึก เครื่องทำลายเอกสาร เป็นต้น ลดโอกาสการทำงานซ้ำซ้อน ล่าช้า หรือเอกสารสูญหายโดยไม่ทราบสาเหตุ

 

ซึ่ง e-Document จะเข้ามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นข้างต้น และรองรับกับสภาพการทำงานที่เปลี่ยนไป เมื่อพนักงานเลือกที่จะทำงานจากที่ไหนก็ได้ การใช้งานเอกสารออนไลน์จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่องค์กรจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทมากขึ้น โดยปกติแล้ว e-Document ที่นิยมใช้กันแพร่หลายมากที่สุดในปัจจุบันคือไฟล์ PDF ที่ใช้งานง่ายพร้อมฟังก์ชันลูกเล่นให้ใช้ทั้ง Highlight พิมพ์ข้อความ ลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ การแสดงผลรวดเร็ว ฯลฯ อีกทั้งยังได้รับความนิยมสูงใช้งานกันทั่วโลก

 

ทั้งนี้การใช้งาน e-Document ยังมีข้อดีที่ช่วยปรับการทำงานในองค์กรคุณให้เป็นแบบ Hybrid คือ

 

  • จัดการและจัดเรียงเอกสารได้ง่ายขึ้น

เมื่อก่อนเอกสารภายในองค์กรจะถูกจัดทำขึ้นบนกระดาษที่บอบบาง ถูกทำลายได้ง่าย ยิ่งปรับเปลี่ยนให้เป็นการทำงานจากที่ไหนด้วยแล้วล่ะก็ การส่งเอกสารไปมาย่อมมีความเสี่ยงที่จะสูญหายสูง หรือไม่เอกสารก็มีปริมาณเยอะมากจนปะปนไปกับเอกสารอื่นขณะขนส่ง หาเอกสารไม่เจอ ทั้งนี้ e-Document จึงเข้ามาช่วยบรรเทาภาระที่เกินความจำเป็นเหล่านี้ ย่อเอกสารให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ปรับเปลี่ยนให้ส่งเอกสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแทน ซึ่งทำงานควบคู่กับระบบ DMS ที่ช่วยคัดกรองและจัดเรียงเอกสารตามความสำคัญให้ผู้ใช้งานเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น

 

  • ทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการได้หลากหลาย

เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย และเข้าถึงได้หลากหลายระบบไม่ว่าจะเป็น Windows, Firefox, MacOS หรือใช้งานร่วมกับระบบบนมือถืออย่าง IPhone และ Android ก็ได้เช่นกัน เพียงแค่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็พร้อมใช้งาน e-Document ได้ทันที สอดรับกับการทำงานจากที่ไหนก็ได้

 

  • ยกระดับความปลอดภัยได้มากกว่า ด้วยการจำกัดสิทธิ์ในเอกสาร

เมื่อพนักงานทุกคนกระจายกันทำงานจากที่ไหนก็ได้ เอกสารลับหรือเอกสารสำคัญจึงถูกส่งไปตามที่อยู่ของพนักงานแต่ละคน นอกจากจะต้องเสียงบประมาณไปกับการขนส่งแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าเอกสารอาจถูกเปิดหรือมีการแก้ไขในระหว่างทาง และยังมีโอกาสที่เอกสารลับนั้นจะชำรุดหรือสูญหาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กร ฉะนั้นเพื่อตัดปัญหาการโจรกรรมข้อมูลและการสูญหายของเอกสาร การรับ-ส่งเอกสารอิเล็กทรอนิกส์บนเครือข่ายปิดขององค์กรจึงตอบโจทย์ได้มากกว่าด้วยการใช้ e-Document และระบบ DMS ร่วมกันในการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเอกสาร สามารถตั้งค่าในการเข้าถึงเอกสารแต่ละส่วนให้ผู้ใช้งานแต่ละคนได้ และเพิ่มความแน่นหนาด้วยระบบการตรวจสอบย้อนหลังในคนที่เข้าถึงข้อมูล ที่ระบุผู้แก้ไขและเนื้อหาที่ถูกแก้ได้อย่างชัดเจน ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลในเอกสารลับทั้งหลายจะปลอดภัยภายใต้ระบบที่ได้มาตรฐานสากล

 

และนี่คือประโยชน์ของ e-Document ที่เข้ามาช่วยส่งเสริม การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานขององค์กรคุณให้เป็น Hybird Working มากขึ้น ที่ไม่ได้มีดีแค่ให้คุณทำงานจากที่ไหนก็ได้ แต่ยังช่วยประหยัดต้นทุน ช่วยลดการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น เสริมด้วยการใช้งานควบคู่ไปกับระบบ DMS ที่จะช่วยจัดระเบียบเอกสารให้ใช้งานได้ง่ายและปลอดภัยมากขึ้น ลดโอกาสการเกิดความผิดพลาดจากการดูแลเอกสารที่ผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพที่เห็นได้อย่างชัดเจน

 

ข้อมูลอ้างอิง:

Advanced Workplace

 

สอบถามรายละเอียด ระบบ DMS เพิ่มเติม

📞 02-517-5555

Line ID: @dittothailand

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม