ต้นไม้ คาร์บอนเครดิตกับโอกาสขององค์กรไทยในการลดคาร์บอนและสร้างมูลค่าที่ยั่งยืน

  • มิถุนายน 16, 2025

News Description

Carbon Credit

โลกที่ร้อนขึ้นทุกวันจากก๊าซเรือนกระจกไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป หลายองค์กรในไทยเริ่มมองเห็นความสำคัญของการลดคาร์บอนเครดิต ไม่ใช่แค่เพื่อภาพลักษณ์ที่ดี แต่ยังเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องของต้นไม้ กับคาร์บอนเครดิตที่กำลังเป็นกระแสถูกพูดถึงอย่างมาก ในบทความนี้ Ditto จะพาคุณไปทำความรู้จักกันว่า คืออะไร และจะช่วยให้องค์กรของคุณเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างไร 

 

คาร์บอนเครดิต คืออะไร? และเหตุผลที่องค์กรควรร่วมขับเคลื่อน 

เคยสงสัยไหมว่า โครงการปลูกป่าต่าง ๆ หรือการที่องค์กรหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จะสามารถสร้างมูลค่ากลับคืนมาได้อย่างไร คำตอบส่วนหนึ่งอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่า Carbon Credit พูดง่าย ๆ ก็คือสิทธิที่ได้จากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งสิทธินี้สามารถนำไปซื้อขายในตลาดได้ ทำให้การลดคาร์บอนไม่ใช่แค่เรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างรายได้อีกด้วย

 

องค์กรที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หรือลงทุนในโครงการที่ช่วยดูดซับคาร์บอน เช่น การปลูกป่า ก็จะได้รับคาร์บอนเครดิตเป็นการตอบแทน นอกจากจะเป็นการช่วยโลกแล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ผู้บริโภคและยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับมาตรการทางภาษีคาร์บอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย

 

ป่าไม้กับบทบาทสำคัญในการกักเก็บคาร์บอน

เมื่อพูดถึงการลดก๊าซเรือนกระจก พระเอกคนสำคัญที่เรามองข้ามไม่ได้เลยก็คือ “ป่าไม้” ต้นไม้ทุกต้นเปรียบเสมือนเครื่องฟอกอากาศธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกตัวหลักออกจากชั้นบรรยากาศ

 

กระบวนการนี้เรียกว่าการสังเคราะห์ด้วยแสง ที่ต้นไม้จะใช้ CO2 น้ำ และแสงแดดในการเจริญเติบโต พร้อมกับปลดปล่อยออกซิเจนออกมาให้เราได้หายใจกัน ยิ่งมีพื้นที่ป่ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีตัวช่วยในการกักเก็บคาร์บอนมากขึ้นเท่านั้น

ป่าไม้จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสมดุลของสภาพภูมิอากาศโลก และเป็นหัวใจสำคัญของแนวคิด ต้นไม้ คาร์บอนเครดิต ที่เปิดโอกาสให้การปลูกป่าและการอนุรักษ์ป่าสามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมได้

 

 

รวมต้นไม้ไทยที่มีศักยภาพสูงในการดูดซับคาร์บอน

ประเทศไทยเราโชคดีที่มีพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีความสามารถในการดูดซับคาร์บอนแตกต่างกันไป ดังนัั้น การเลือกปลูกต้นไม้ที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการเดินหน้าเรื่องคาร์บอนเครดิตอย่างจริงจัง ทั้งนี้ อัตราการดูดซับคาร์บอนไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของต้นไม้เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงอายุของต้นไม้ สภาพแวดล้อมและการจัดการดูแลอีกด้วย  

 

ป่าไม้ดูดซับคาร์บอน

 

ต้นไม้ที่มีอัตราการดูดซับคาร์บอนสูง 

ต้นไม้หลายชนิดในบ้านเราที่มีศักยภาพโดดเด่นในเรื่องการกักเก็บคาร์บอน ตัวอย่างเช่น กลุ่มไม้โตเร็วอย่างกระถินเทพา ยูคาลิปตัสหรือสะเดาเทียม ซึ่งสามารถดูดซับคาร์บอนได้ดีในช่วงปีแรก ๆ ของการเจริญเติบโต

นอกจากนี้ กลุ่มไม้เนื้อแข็งที่มีอายุยืนยาว เช่น ตะเคียนทอง ยางนาหรือประดู่ป่า ก็มีศักยภาพในการสะสมคาร์บอนในเนื้อไม้ได้ในปริมาณมากตลอดช่วงชีวิตของมันเช่นกัน  

 

เปรียบเทียบชนิดไม้ โตเร็ว-โตช้า ศักยภาพเชิงเศรษฐกิจ

การเลือกระหว่างไม้โตเร็วกับไม้โตช้านั้นมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • ไม้โตเร็ว มักจะให้ผลตอบแทนในรูปของคาร์บอนเครดิต ในช่วงเวลาสั้นกว่า เพราะมีการเติบโตและดูดซับคาร์บอนอย่างรวดเร็วในช่วงแรก เหมาะสำหรับโครงการที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็ว หรือมีรอบการหมุนเวียนสั้น ๆ
  • ไม้โตช้า แม้จะใช้เวลานานกว่าในการดูดซับคาร์บอนในปริมาณที่เท่ากัน แต่เนื้อไม้มักมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าในระยะยาว เช่น การนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์หรือการก่อสร้างได้ 

 

นอกจากนี้ ไม้โตช้าหลายชนิดยังเป็นไม้พื้นถิ่นที่ช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพได้ดีกว่า ดังนั้น การตัดสินใจจึงควรพิจารณาทั้งเป้าหมายด้านคาร์บอนเครดิตและศักยภาพเชิงเศรษฐกิจอื่น ๆ ประกอบกันด้วย   

 

แนวทางการเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมตามพื้นที่และเป้าหมายขององค์กร

การเลือกพันธุ์ไม้ให้เหมาะสมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของโครงการต้นไม้ และคาร์บอนเครดิต อันดับแรกเลย คือต้องดูสภาพพื้นที่ของเราเสียก่อนว่า ดินเป็นอย่างไร มีความอุดมสมบูรณ์แค่ไหน สภาพอากาศเป็นอย่างไร ต้นไม้แต่ละชนิดก็มีความต้องการที่แตกต่างกันไป ไม้บางชนิดชอบที่แล้ง บางชนิดชอบที่ชุ่มชื้น

 

ทั้งนี้ การเลือกพันธุ์ไม้ที่เข้ากับสภาพแวดล้อมจะช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดี ดูดซับคาร์บอนได้อย่างเต็มศักยภาพ และลดอัตราการตาย นอกจากนี้ เป้าหมายขององค์กรก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ หากต้องการคาร์บอนเครดิตอย่างรวดเร็ว อาจมองไปที่ไม้โตเร็ว แต่หากต้องการสร้างมูลค่าไม้ในระยะยาวควบคู่ไปด้วย หรือต้องการฟื้นฟูระบบนิเวศก็อาจเลือกไม้โตช้าหรือไม้พื้นถิ่นได้ 

 

 

แนวโน้มตลาดคาร์บอนเครดิตในไทย และโอกาสสำหรับองค์กรไทย

ปัจจุบัน แนวโน้มการเจริญเติบโตของตลาดคาร์บอนเครดิต ในประเทศไทยกำลังคึกคักและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากแรงผลักดันของภาครัฐที่ต้องการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและความตระหนักของภาคเอกชนเองที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทำให้ความต้องการ Carbon Credit เพิ่มสูงขึ้น องค์กรไทยจำนวนมากเริ่มมองหาช่องทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง และหนึ่งในนั้นคือการลงทุนในโครงการปลูกป่าเพื่อสร้างคาร์บอนเครดิต

 

นี่จึงเป็นโอกาสทองสำหรับองค์กรที่มีที่ดิน หรือมีความพร้อมในการพัฒนาโครงการปลูกป่า ไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสามารถสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการเหล่านี้ นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทั้งในเชิงนิเวศและเชิงเศรษฐกิจ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มที่จับต้องได้และยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรในระยะยาวอีกด้วย 

 

และเพื่อต่อยอดโอกาสนี้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ หลายองค์กรจึงเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนการจัดการข้อมูลและโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งหนึ่งในโซลูชันที่ตอบโจทย์ในยุคนี้คือ GREEN & CLIMATE TECHNOLOGY จาก Ditto ที่พัฒนาเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการข้อมูลการปล่อยคาร์บอน ตรวจสอบผลกระทบจากโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและสามารถติดตามความคืบหน้าของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างแม่นยำและโปร่งใส โซลูชันนี้ไม่เพียงช่วยเสริมศักยภาพให้กับองค์กรที่ต้องการมีบทบาทเชิงรุกในการขับเคลื่อนความยั่งยืน แต่ยังช่วยให้สามารถเข้าถึงตลาดคาร์บอนเครดิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการรายงานและตรวจสอบตามมาตรฐานระดับสากล ถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรไทยที่ต้องการสร้างความได้เปรียบในปัจจุบันเลยทีเดียว 

 

Green-Economy

 

สรุปบทความ 

การที่องค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยหันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยคาร์บอน และมองเห็นศักยภาพของต้นไม้ กับคาร์บอนเครดิตนั้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว 

 

นอกจากนี้ การลงทุนในการปลูกป่าและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงแค่กระแส แต่เป็นทิศทางสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อน เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับทุกคน