ใบกำกับภาษี มีกี่แบบ? เจาะลึกความต่างแบบเต็ม vs อย่างย่อ สำหรับเจ้าของกิจการ

  • September 12, 2025

News Description

ใบกำกับภาษี คืออะไร

สำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เอกสารที่ชื่อว่า ใบกำกับภาษี ถือเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานการซื้อขายสินค้าหรือบริการ แต่ยังเป็นเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกรมสรรพากร การทำความเข้าใจว่าเอกสารนี้ คืออะไร จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมายอย่างแน่นอน  

 

ใบกำกับภาษี (Tax Invoice) คืออะไร? 

ใบกำกับภาษี (Tax Invoice) คือเอกสารสำคัญที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ผู้ขาย) มีหน้าที่ต้องออกให้กับผู้ซื้อสินค้า หรือผู้รับบริการทุกครั้งที่มีการซื้อขาย เพื่อแสดงมูลค่าของสินค้าหรือบริการ และจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ผู้ประกอบการได้เรียกเก็บจากผู้ซื้อในครั้งนั้น ๆ

นอกจากนี้ ยังเป็นเอกสารที่มีความสำคัญ ทั้งต่อฝั่งผู้ขายและผู้ซื้อ สำหรับผู้ขาย จะใช้เป็นหลักฐานในการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีขาย) ให้แก่กรมสรรพากร ในขณะที่ฝั่งผู้ซื้อ (ที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนเช่นกัน) จะใช้เป็นหลักฐานในการขอหักภาษี (ภาษีซื้อ) ออกจากภาษีขายของตนเอง ซึ่งช่วยลดภาระภาษีของกิจการได้  

ใบกำกับภาษี มีกี่ประเภท? 

ตามประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรได้กำหนดรูปแบบของใบกำกับภาษีไว้หลายลักษณะ แต่ประเภทหลัก ๆ ที่คนทำธุรกิจต้องรู้จักและใช้งานเป็นประจำมี 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่  

 

ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบ

 

1. ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป (มาตรา 86/4) 

ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป คือ บกำกับภาษีรูปแบบมาตรฐานที่มีรายการครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดทุกประการ เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการด้วยกัน (B2B) เนื่องจากผู้ซื้อสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในการหักภาษีซื้อ (Input Tax) ได้อย่างสมบูรณ์  

2. ใบกำกับภาษีอย่างย่อ

ใบกำกับภาษีอย่างย่อ คือเอกสารที่ออกโดยผู้ประกอบการค้าปลีก ซึ่งขายสินค้าหรือให้บริการในลักษณะที่ขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง (B2C) จำนวนมาก เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า โดยผู้ประกอบการกลุ่มนี้จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้ออกใบกำกับภาษีรูปแบบย่อได้ เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการให้บริการ แต่ผู้ซื้อจะไม่สามารถนำไปใช้หักภาษีซื้อได้ 

 

องค์ประกอบสำคัญใน “ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป” ที่ต้องมี

เพื่อให้ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปถูกต้องและสมบูรณ์ตามกฎหมาย จะต้องมีรายการอย่างน้อยดังต่อไปนี้ 

  1. คำว่า “ใบกำกับภาษี” ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน
  2. ชื่อ ที่อยู่และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 13 หลัก ของผู้ขาย (ผู้ออกใบกำกับภาษี)
  3. ชื่อ ที่อยู่และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 13 หลัก ของผู้ซื้อ
  4. หมายเลขลำดับของใบกำกับภาษี และหมายเลขลำดับของเล่ม (ถ้ามี)
  5. วันที่ เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี
  6. ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณและมูลค่า ของสินค้าหรือของบริการ
  7. จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการ โดยให้แยกแสดงออกจากราคาสินค้าอย่างชัดเจน
  8. ข้อความอื่นที่อธิบดีกำหนด เช่น ระบุสำนักงานใหญ่ หรือสาขาที่ออกใบกำกับภาษี 

 

เปรียบเทียบความแตกต่างใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ vs อย่างย่อ 

ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ใบกำกับภาษีอย่างย่อ
ชื่อ-ที่อยู่ผู้ซื้อ ต้องระบุ ไม่จำเป็นต้องระบุ
เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ซื้อ ต้องระบุ ไม่จำเป็นต้องระบุ
การแสดงภาษีมูลค่าเพิ่ม แยก VAT ออกจากราคาสินค้า แสดงเป็นราคารวม VAT แล้ว
การใช้สิทธิ์ทางภาษีของผู้ซื้อ ใช้หักเป็นภาษีซื้อได้ ใช้หักเป็นภาษีซื้อไม่ได้
ผู้ที่สามารถออก ผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ทั่วไป ผู้ประกอบการค้าปลีกที่ได้รับอนุมัติ

 

ใบกำกับภาษีรูปแบบดิจิทัล

 

สรุปบทความ 

การเลือกใช้และออกใบกำกับภาษีให้ถูกต้องตามประเภทและมีองค์ประกอบครบถ้วน ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องให้ความสำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเบี้ยปรับเงินเพิ่มที่อาจตามมาในอนาคต ในยุคที่ธุรกิจต้องจัดการเอกสารจำนวนมหาศาล การมีระบบจัดการเอกสาร และระบบ ECM ที่ดีจะช่วยให้การจัดเก็บ ค้นหา ส่งต่อและตรวจสอบใบกำกับภาษีทำได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น การนำเทคโนโลยี Automation เข้ามาปรับใช้กับกระบวนการทางบัญชีและการเงิน ยังถือเป็นก้าวสำคัญของการทำ Digital Transformation ที่ช่วยลดขั้นตอน ลดความผิดพลาดและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่องค์กร ซึ่งในอนาคต เทคโนโลยี AI จะยิ่งเข้ามามีบทบาทในการสกัดข้อมูลและตรวจสอบเอกสารเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น