ปัจจุบันเทคโนโลยีหมุนไปไว ทุกธุรกิจต่างก็มีระบบซอฟต์แวร์มากมายที่ใช้งานกันในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นระบบบัญชี ระบบลูกค้าสัมพันธ์ หรือแม้แต่เครื่องมือที่ใช้สื่อสารกันภายใน เคยสงสัยไหมว่า ระบบที่แตกต่างกันเหล่านี้จะคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร หรือจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแบบอัตโนมัติได้อย่างไร เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด คำตอบของคำถามเหล่านี้อาจจะซ่อนอยู่ใน API อักษรสามตัวที่เรากำลังจะพูดถึงกันในบทความนี้เลย ถ้าอยากรู้ว่ามันคืออะไร และจะมาช่วยพลิกโฉมการทำงานในองค์กรยุคดิจิทัลได้อย่างไร ตามมาอ่านกันได้เลย
API คืออะไร?
API (Application Programming Interface) คือชุดคำสั่งที่ช่วยให้ซอฟต์แวร์หรือระบบต่าง ๆ สามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดภายในของกันและกัน เปรียบเสมือนสะพานเชื่อม ระหว่างโปรแกรมหนึ่งกับอีกโปรแกรมหนึ่ง
ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น เมื่อคุณใช้แอปสั่งอาหาร แล้วมีแผนที่แสดงตำแหน่งร้านอาหาร แอปนั้นอาจเรียกใช้ API ของ Google Maps เพื่อแสดงข้อมูลแผนที่ โดยไม่จำเป็นต้องพัฒนาแผนที่ขึ้นมาใหม่เองทั้งหมด ชุดคำสั่งนี้ จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเชื่อมโยงข้อมูล บริการหรือฟีเจอร์ต่าง ๆ จากภายนอกเข้ามาใช้งานได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
ประเภทของ API มีอะไรบ้าง
เมื่อพูดถึง API จริง ๆ แล้วมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับนโยบายการเผยแพร่และการเข้าถึง หากแบ่งให้เห็นภาพชัด ๆ ก็สามารถแบ่งได้ดังนี้
- Private APIs ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ภายในองค์กรเท่านั้น เช่น API ที่เชื่อมต่อระบบ HR กับระบบบัญชี หรือเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างแผนกต่าง ๆ เพื่อให้การทำงานภายในองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย เพราะจำกัดการเข้าถึงเฉพาะคนภายในเท่านั้น
- Partner APIs จะเปิดให้เฉพาะพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้ามาเรียกใช้งานได้ มักใช้ในการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ เช่น บริษัทขนส่งเปิด API ให้ร้านค้าออนไลน์เชื่อมต่อเพื่อตรวจสอบสถานะการจัดส่งสินค้าได้โดยตรง
- Public APIs เปิดให้นักพัฒนาภายนอกหรือใครก็ตามสามารถเข้ามาเรียกใช้งานได้ มักจะมีเอกสารประกอบการใช้งาน (Documentation) ที่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น API ของ Google Maps ที่ให้นักพัฒนาเอาแผนที่ไปใส่ในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของตัวเองได้ หรือ API ของโซเชียลมีเดียต่างๆ
ตัวอย่างการใช้งาน API ในภาคธุรกิจและภาครัฐ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่า API มีบทบาทอย่างไรในชีวิตประจำวันและในโลกธุรกิจ ลองดูตัวอย่างเหล่านี้
API ในภาคธุรกิจ
- การจองตั๋วเครื่องบิน/โรงแรมผ่านแอปพลิเคชันตัวกลาง แอปเหล่านั้นไม่ได้เป็นเจ้าของสายการบินหรือโรงแรมทั้งหมด แต่จะใช้ API ดึงข้อมูลจากสายการบินและโรงแรมต่าง ๆ มาแสดงให้เราเลือกจองได้ในที่เดียว
- การชำระเงินออนไลน์ เวลาเราซื้อของออนไลน์แล้วเลือกจ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือ Mobile Banking ระบบของร้านค้าจะเรียกใช้ API ของธนาคารหรือผู้ให้บริการชำระเงินเพื่อดำเนินการตัดเงิน
- การ Login ด้วยบัญชีโซเชียลมีเดีย หลายเว็บไซต์อนุญาตให้เรา Login ด้วยบัญชี Facebook หรือ Google ได้ นั่นก็เพราะเว็บไซต์เหล่านั้นใช้ API ของ Facebook หรือ Google ในการยืนยันตัวตน
API ในภาครัฐ
- การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เช่น API ที่เชื่อมข้อมูลทะเบียนราษฎร์กับระบบประกันสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับสิทธิ์อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
- การให้บริการข้อมูลสาธารณะ หน่วยงานรัฐอาจเปิด API ให้ประชาชนหรือนักพัฒนาเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่น ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลการจราจรหรือข้อมูลสถิติต่าง ๆ เพื่อนำไปต่อยอดสร้างนวัตกรรม
- การยืนยันตัวตนดิจิทัล (Digital ID) เพื่อให้การทำธุรกรรมภาครัฐออนไลน์เป็นไปอย่างปลอดภัยและน่าเชื่อถือ การใช้ API เพื่อเชื่อมต่อกับระบบยืนยันตัวตนเป็นสิ่งจำเป็น โดยต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับกฎหมายอย่าง PDPA ด้วย
ประโยชน์ของการใช้ API ในองค์กร
การนำ API มาประยุกต์ใช้ในองค์กรนั้นมีประโยชน์มากมายเลย โดยเฉพาะในยุคที่เรามุ่งเน้นการทำงานแบบดิจิทัล ประโยชน์หลัก ๆ ที่เห็นได้ชัดมีดังนี้
การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
เมื่อระบบต่าง ๆ ในองค์กรสามารถคุยกัน และแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้โดยอัตโนมัติผ่าน API ก็จะช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อนของพนักงานลงไปได้มาก ข้อมูลถูกส่งต่อกันได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ไม่ต้องเสียเวลากรอกข้อมูลเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ในหลายระบบ เช่น การเชื่อมต่อกับระบบจัดการเอกสาร เพื่อให้ข้อมูลไหลเวียนอย่างราบรื่น หรือการใช้ API เพื่อดึงข้อมูลจากระบบ ECM (Enterprise Content Management) มาแสดงผลในแอปพลิเคชันอื่น ทำให้พนักงานมีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สำคัญและสร้างสรรค์ได้มากขึ้น
การลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาระบบ
แทนที่จะต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้น การใช้ API ช่วยให้นักพัฒนาสามารถนำฟังก์ชันหรือบริการที่มีอยู่แล้วของระบบอื่นมาใช้งานได้ทันที เหมือนกับการเอาตัวต่อเลโก้มาประกอบกันเป็นรูปร่างใหม่ ๆ ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณในการพัฒนาซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ได้อย่างมาก ไม่ต้องลงทุนสร้างทีมใหญ่ หรือเสียเวลากับสิ่งที่คนอื่นทำไว้ดีอยู่แล้ว
การเสริมสร้างนวัตกรรมและความยืดหยุ่น
API เปิดโอกาสให้องค์กรสามารถสร้างสรรค์บริการหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยการผสมผสานความสามารถจากระบบต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ทำให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ การเปิด API ให้พาร์ทเนอร์หรือนักพัฒนาภายนอกเข้ามาใช้งาน ก็ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เราอาจคาดไม่ถึงได้อีกด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่าง API กับ Digital Transformation
หากจะบอกว่า API คือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อน Digital Transformation ก็คงไม่ผิดนัก เพราะการจะปรับเปลี่ยนองค์กรไปสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบนั้น จำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงระบบ ข้อมูลและกระบวนการทำงานต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น ซึ่ง API นี่แหละที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสะพานเชื่อมเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อระบบเก่า (Legacy System) เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ หรือการนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจทางธุรกิจ ทั้งหมดนี้ล้วนต้องพึ่งพา API ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ รวมถึงการจัดการข้อมูลให้เป็นไปตามข้อกำหนดเรื่อง Privacy Policy ก็สามารถใช้ API ช่วยในการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลได้อีกด้วย
สรุปบทความ
มาถึงตรงนี้ หลายคนคงพอจะเห็นภาพแล้วว่า API คือเครื่องมือที่ทรงพลังและมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกยุคดิจิทัล ไม่เพียงแต่ช่วยให้ระบบต่าง ๆ สามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรสามารถลดต้นทุน เพิ่มความคล่องตัวและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การทำความเข้าใจและนำชุดคำสั่งนี้ไปประยุกต์ใช้อย่างถูกวิธี จึงเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคนี้ที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว