เบื้องหลังความสำเร็จของการทำธุรกิจในยุค Digital Transformation นั้น เบื้องหลังจะมีเทคโนโลยีแกนหลักที่เรียกว่า “Database” ทำงานอยู่ เพราะการเลือกใช้ฐานข้อมูลที่เหมาะสมจึงเป็นรากฐานสำคัญในการจัดเก็บ และบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และหนึ่งในประเภทของฐานข้อมูลที่เป็นมาตรฐานและถูกใช้งานแพร่หลายที่สุด คือฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ดังนั้น ในบทความนี้ Ditto จะพาไปคุณไปทำความรู้จักว่า Relational Database คืออะไร และเหตุใดเทคโนโลยีนี้จึงเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจขาดไม่ได้
ทำไม Relational Database ถึงสำคัญกับธุรกิจในยุคดิจิทัล?
ปัจจุบัน ธุรกิจไหน ๆ ก็ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) กันทั้งนั้น ดังนั้น การตัดสินใจที่แม่นยำและรวดเร็วเป็นสิ่งจำเป็น ทำให้ Relational Database หรือฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ จึงได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลดังนี้
- สร้างความน่าเชื่อถือให้ข้อมูล (Data Integrity) ด้วยโครงสร้างที่ชัดเจนและกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด ทำให้ข้อมูลที่จัดเก็บมีความถูกต้องสม่ำเสมอ ลดความผิดพลาดซ้ำซ้อน ทำให้ทุกฝ่ายในองค์กรทำงานบนข้อมูลชุดเดียวกันที่เชื่อถือได้
- รองรับการเติบโตของธุรกิจ (Scalability) สามารถจัดการข้อมูลปริมาณมหาศาลและรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนได้ดี เมื่อธุรกิจเติบโต ข้อมูลมากขึ้น ก็ยังสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อบังคับ สามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลในระดับต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด ช่วยปกป้องข้อมูลสำคัญขององค์กรให้ปลอดภัย และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การจัดการข้อมูลสอดคล้องกับข้อบังคับอย่าง PDPA หรือ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- เป็นรากฐานของระบบสำคัญ แอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ทางธุรกิจส่วนใหญ่ เช่น ระบบ CRM, ระบบ ERP หรือแม้กระทั่งระบบจัดการเอกสารล้วนทำงานอยู่บนฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์แทบทั้งสิ้น
องค์ประกอบหลักของ Relational Database ที่ต้องรู้
เพื่อให้เข้าใจภาพรวมว่า Relational Database คืออะไรมากยิ่งขึ้น เราจำเป็นต้องรู้จักองค์ประกอบพื้นฐานของมัน ซึ่งเปรียบเสมือนการจัดเก็บข้อมูลลงในแฟ้มเอกสารที่มีการแบ่งหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ดังนี้
- Table (ตาราง) คือส่วนประกอบหลักในการเก็บข้อมูล มีลักษณะคล้ายตารางใน Excel ประกอบด้วยแถวและคอลัมน์ เช่น ตารางลูกค้า, ตารางสินค้า, ตารางคำสั่งซื้อ
- Row (แถว) หรือ Record คือข้อมูล 1 ชุดในตาราง เช่น ข้อมูลของลูกค้ารายหนึ่ง หรือข้อมูลของสินค้าชิ้นหนึ่ง
- Column (คอลัมน์) หรือ Attribute คือประเภทของข้อมูลแต่ละช่องในตาราง เช่น คอลัมน์ชื่อ, นามสกุล, เบอร์โทรศัพท์
- Primary Key (คีย์หลัก) คือคอลัมน์ที่มีค่าไม่ซ้ำกันเด็ดขาดในแต่ละแถวของตาราง ใช้เพื่อระบุข้อมูลแต่ละ Record ได้อย่างแม่นยำ เช่น รหัสพนักงาน รหัสสินค้า เป็นต้น
- Foreign Key (คีย์นอก) คือคีย์ที่ใช้สร้างความสัมพันธ์ ระหว่างตาราง โดยจะเป็นการนำ Primary Key จากตารางหนึ่ง ไปใส่ไว้ในอีกตารางหนึ่งเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน เช่น การนำรหัสลูกค้า (Primary Key จากตารางลูกค้า) ไปใส่ในตารางคำสั่งซื้อ เพื่อระบุว่าใครเป็นเจ้าของคำสั่งซื้อนั้น
การทำงานของ Relational Database และภาษา SQL
หัวใจของการทำงานใน Relational Database คือการใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า SQL (Structured Query Language) ซึ่งเป็นภาษามาตรฐานที่ใช้ในการสื่อสารกับ Database ประเภทนี้โดยเฉพาะ ผู้ใช้หรือแอปพลิเคชันจะส่งคำสั่ง SQL ไปยังระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System) เพื่อดำเนินการต่าง ๆ กับข้อมูล เช่น
- SELECT ดึงหรือเรียกดูข้อมูลที่ต้องการจากตารางต่างๆ
- INSERT เพิ่มข้อมูลใหม่เข้าไปในตาราง
- UPDATE แก้ไขปรับปรุงข้อมูลที่มีอยู่เดิม
- DELETE ลบข้อมูลออกจากตาราง
ด้วย SQL เราสามารถดึงข้อมูลที่เชื่อมโยงกันจากหลาย ๆ ตารางออกมาพร้อมกันได้ในการสั่งงานเพียงครั้งเดียว เช่น การดึงรายชื่อลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้า A ในเดือนที่ผ่านมา เพียงเขียนคำสั่ง SQL หนึ่งชุด ก็สามารถนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาใช้งานได้สะดวก ซึ่งนี่คือจุดเด่นของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ที่ช่วยให้การจัดการข้อมูลมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากขึ้น
ข้อดีของ Relational Database ที่ธุรกิจจะได้รับ
- ความถูกต้องแม่นยำสูง โครงสร้างที่บังคับให้ข้อมูลต้องสอดคล้องกัน ทำให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือสูง
- ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล จัดเก็บข้อมูลเพียงแห่งเดียวแล้วใช้การเชื่อมโยงแทนการคัดลอกข้อมูลไปไว้หลายๆ ที่
- มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน สามารถสืบค้นข้อมูล (Query) ในรูปแบบที่ซับซ้อนและเฉพาะเจาะจงได้ตามต้องการ
- ความปลอดภัยของข้อมูล สามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง แก้ไขหรือลบข้อมูลได้อย่างละเอียดในระดับผู้ใช้งาน
ตัวอย่างการใช้งาน Relational Database ในธุรกิจที่เราคุ้นเคย
- ธุรกิจ E-commerce ตาราง ลูกค้า เชื่อมกับตาราง คำสั่งซื้อ ซึ่งเชื่อมต่อไปยังตารางสินค้าและตาราง ที่อยู่จัดส่ง
- ระบบธนาคาร ตารางบัญชีผู้ใช้ เชื่อมโยงกับตารางธุรกรรมการเงิน และตารางข้อมูลสินเชื่อ
- ระบบบริหารทรัพยากรบุคคล (HR) ตารางพนักงาน เชื่อมกับตารางแผนก, ตารางการเข้างาน และตารางข้อมูลเงินเดือน
- ระบบจัดการเอกสารอัจฉริยะ (ECM) ตารางผู้ใช้งาน เชื่อมกับตารางเอกสาร ซึ่งมีข้อมูลเชื่อมต่อไปยังตารางสิทธิ์การเข้าถึง และตารางเวอร์ชันของเอกสาร ซึ่งเป็นหัวใจของโซลูชัน ECM
Relational Database (SQL) vs NoSQL ต่างกันอย่างไร? เลือกใช้อะไรดี?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีฐานข้อมูลอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมขึ้นมาคือ NoSQL (Not Only SQL) ซึ่งมีความแตกต่างจาก Relational Database (หรือที่มักเรียกกันว่า SQL Database) อย่างชัดเจน
- Relational Database (SQL) จะมีโครงสร้างชัดเจน ตายตัว (Schema-on-write) เน้นการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตาราง ขยายในแนวตั้ง (Vertical Scaling) เพิ่มประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์เครื่องเดิม เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความถูกต้องสูง เช่น ระบบการเงิน, ระบบ ERP, ธุรกรรมต่าง ๆ เป็นต้น
- NoSQL ยืดหยุ่น ไม่มีโครงสร้างตายตัว (Schema-on-read) มักเก็บข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องไว้ในที่เดียว (Document) ขยายในแนวนอน (Horizontal Scaling) เพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็วสูง ข้อมูลหลากหลายและมีปริมาณมหาศาล เช่น Social Media, Big Data, IoT เป็นต้น
สรุปบทความ
Relational Database คือเทคโนโลยีพื้นฐานที่ทรงพลังและเป็นกระดูกสันหลังให้กับระบบงานสำคัญในแทบทุกธุรกิจ ด้วยความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบระเบียบ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล ทำให้มั่นใจได้ในความถูกต้องแม่นยำ ปลอดภัยและพร้อมสำหรับการนำไปวิเคราะห์ต่อยอดเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจที่เฉียบคม
Ditto เรามีโซลูชันระบบจัดการเอกสารและข้อมูลแบบครบวงจร เพราะเข้าใจดีว่า ข้อมูลคือสินทรัพย์ที่ล้ำค่าขององค์กร ช่วยบริหารจัดการเอกสารและข้อมูลดิจิทัลที่เก็บอยู่บน Database ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เปลี่ยนเอกสารกระดาษและไฟล์ที่กระจัดกระจายให้กลายเป็นข้อมูลที่มีโครงสร้าง พร้อมใช้งาน ปลอดภัยและสอดคล้องกับข้อบังคับ PDPA เพื่อขับเคลื่อนองค์กรของคุณในยุค Digital Transformation ได้อย่างมั่นคง